ตารางกิจกรรม

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

ธุรกิจ อี-คอมเมิร์ชไทย


หนึ่งตัวอย่างความสำเร็จ e-Commerce ไทย หนึ่งตัวอย่างความสำเร็จ e-Commerce ไทย สิ่งหนึ่งที่ผมเคยสงสัยก็คือ ธุรกิจ e-Commerce ในเมืองไทย จะมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือเปล่า เพราะมีปัจจัยได้หลายอย่างที่แตกต่าง จาก e-Commerce ในประเทศอื่นๆ พอมาทราบว่ามี Website e-Commerce แห่งหนึ่งในเมืองไทย ประสบความสำเร็จ ที่ยอดขายในระดับ ร้อยล้าน ก็เลยทำให้ผมแปลกใจ และยิ่งแปลกใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่าสินค้าที่จำหน่ายคือ พวก Jewellery (อัญมณี เพชรพลอย ต่างๆนั่นเอง) อะไรทำให้ Website สัญชาติไทยแห่งนี้ประสบความสำเร็จ


ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจผ่านอีคอมเมิร์ซของ Thaigem.com นั้นมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ง่าย หากแต่มาจากการริเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป และการเข้าใจถึงพฤติกรรมของลูกค้าอย่างแท้จริง ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการสั่งซื้อ การรักษาความปลอดภัย คุณภาพและการรับประกันในตัวของสินค้าและระบบการชำระเงินที่เชื่อถือได้เมื่อมีโอกาสไปบรรยายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ e-Commerce ครั้งใดก็ตาม ผมมักยกตัวอย่างความสำเร็จของเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Thaigem.com เกือบทุกครั้ง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเว็บไซต์ดังกล่าวนอกจากจะเป็นเว็บไซต์สัญชาติไทยที่ติดอันดับการขายหลายร้อยล้านแล้ว ยังเป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าที่ถือได้ว่ามีอุปสรรคมากในการขายผ่านออนไลน์ นั่นคือสินค้าในหมวดของอัญมณีนั่นเอง วันนี้เลยขออนุญาตนำมาสรุปเป็นประเด็นอีกครั้งเพื่อให้ผู้ที่สนใจในเรื่องของการดำเนินธุรกิจในรูปแบบอีคอมเมิร์ซได้มีโอกาสศึกษา และพิจารณาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับสินค้าของตนเองโดยปกติแล้วสินค้ากลุ่มที่มีการนำมาขายบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลายก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของหนังสือ เพลง ภาพยนตร์ และเสื้อผ้า หากจะขายเพชรหรือพลอยในลักษณะออนไลน์แล้วแทบจะมองหาความสำเร็จได้ยากมาก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าในการวิจัยสินค้าหมวดหมู่ที่ขายได้บนอินเทอร์เน็ตนั้นพอที่จะสรุปได้ว่าควรจะเป็นสินค้าที่มีลักษณะดังนี้คือ ผู้ใช้มีความคุ้นเคย, มีการพบเห็นหรือจับต้องสินค้าในร้านค้าปกติหรือมีประสบการณ์มาก่อน (เช่นได้ยินได้ชมตัวอย่าง), หรือเป็นสินค้าที่อยู่ในรูปแบบของดิจิตอล และทั้งหมดนี้ไม่ใช่สินค้าที่มีราคาสูงเมื่อหันมาพิจารณาดูสินค้าที่วางจำหน่ายบนเว็บไซต์ของ Thaigem.com แล้ว อาจกล่าวได้ว่ามีลักษณะตรงข้ามกับที่กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น การซื้อขายอัญมณีในเวลาปกติก็มีความลำบากอยู่แล้วเนื่องจากมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ซ้ำกันในแต่ละรายการ การที่สามารถไปสู่ความสำเร็จในระดับโลกได้จึงถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาและน่าที่จะเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับผู้ประกอบการายอื่นๆอีกด้วย






ความเป็นมาสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักกับเว็บไซต์ Thaigem.com ก็ขอถือโอกาสนี้กล่าวเป็นสังเขป เว็บไซต์นี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท NCS GROUP เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2541 ในการดำเนินธุรกิจแรกเริ่มนั้นบริษัทได้ดำเนินธุรกิจในลักษณะของค้าส่งเพชรพลอยในจังหวัดจันทบุรีมาเป็นระยะเวลาประมาณ 20 ปีในชื่อของ Nuntiya Care Stone การริเริ่มการขายบนอินเทอร์เน็ตนั้นก็เป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ลงทุนมากมายกับด้านไอที และมีรายการสินค้าอยู่กับเว็บไซต์ Ebay.com เพียง 5 รายการเท่านั้น ภายในเวลาเพียงปีเดียวจากเว็บไซต์ที่ทดลองกันเล่นๆ ก็กลายเป็นการขายที่มีรายการสินค้ามากมายนับพันรายการ ในปัจจุบัน Thaigem.com มีรายการสินค้านับล้านรายการและมีการจัดส่งสินค้าหลายพันรายการต่อวันไปยังลูกค้า รายได้ส่วนใหญ่หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเกือบทั้งหมดในปัจจุบันมาจากการขายผ่านอินเทอร์เน็ต


อะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จเมื่อพิจารณาในด้านของการออกแบบเว็บไซต์, การวางระบบงานด้านการตลาดและ back office นั้น แทบจะกล่าวได้ว่าเข้าถึงความรู้สึกและความกังวลของลูกค้าที่จะเข้ามาสั่งซื้อสินค้าออน์ไลน์ได้เป็นอย่างดี จนกลุ่มเป้าหมายแทบจะหาเหตุผลในการไม่ทดลองสั่งซื้อไม่ได้เลย ในเว็บไซต์ได้ตอบสนองต่อความกังวลของลูกค้าทุกอย่าง และสร้างระบบที่ตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างดีเยี่ยมดังนี้1. นโยบายการคืนสินค้า (Return Policy) ถึงแม้ว่าจะมีรายละเอียดของสินค้าปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ก็ตามแต่สินค้าจำพวกอัญมณีเหล่านี้มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณา และจับต้อง Thaigem.com ยินยอมให้ลูกค้าคืนสินค้าอย่างไม่มีเงื่อนไขได้ภายใน 30 วัน2. การรับประกันสินค้า (Gemological Authenticity Certificate) เพื่อความมั่นใจในตัวสินค้า Thaigem.com ได้มีการออกใบรับรองสำหรับสินค้าที่ซื้อบนเว็บไซต์นี้3. เปิดโอกาสให้ลูกค้ากำหนดราคาซื้อที่พอใจ (Make an Offer) ความจริงแล้วนี่คือรูปแบบของ Auction นั่นเอง การเปิดโอกาสให้ลูกค้าค้นหารายการสินค้าและกำหนดราคาซื้อเป็นนโยบายการตลาดที่ยอดเยี่ยม ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นกันเอง คล้ายกับการซื้อขายปกติที่มีการโต้ตอบ และการหลีกเลี่ยงคำว่า ็?Auctionิ? สร้างความรู้สึกที่ดีกว่าให้กับลูกค้าอีกด้วย4. การจัดส่ง (Delivery) เพื่อความมั่นใจ เว็บไซต์แห่งนี้เลือกใช้บริการของ Fedex ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในมาตรฐานการให้บริการในระดับโลก และเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถติดตามสถานะของรายการสินค้าที่สั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์อีกด้วย5. นโยบายการชำระเงิน (Payment System) เพื่อความสะดวก ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตที่มีระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสูง (SSL - Secure Socket Layer) หรือผ่านตัวกลางที่เป็น Third Party อาทิเช่น Escrow.com หรือ PayPal เป็นต้น6.นโยบายด้านความเป็นส่วนตัว(Privacy) มีการระบุชัดในเรื่องของมาตรฐานของความเป็นส่วนตัวของข้อมูลลูกค้าเช่นเดียวกับเว็บไซต์มาตรฐานทั่วไปจะเห็นได้ว่าความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจผ่านอีคอมเมิร์ซนั้นมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ง่าย หากแต่มาจากการริเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป และการเข้าใจถึงพฤติกรรมของลูกค้าอย่างแท้จริง ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการสั่งซื้อ การรักษาความปลอดภัย คุณภาพและการรับประกันในตัวของสินค้าและระบบการชำระเงินที่เชื่อถือได้มาถึงจุดนี้ เราคงได้คำตอบว่าเหตุใดเว็บไซต์ส่วนใหญ่ของไทยจึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก หรือหากประสบความสำเร็จก็เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการขายในประเทศเท่านั้น ไม่สามารถผลักดันให้เกิดการขายในระดับโลกได้เช่นที่เกิดขึ้นกับ Thaigem.com ถึงเวลาหรือยังที่เว็บไซต์สัญชาติไทยจะมีโอกาสในการสร้างการขายในระดับโลก ซึ่งนอกเหนือจากจะเป็นความสำเร็จของเจ้าของเว็บไซต์เองแล้ว ยังเป็นการนำเงินตราเข้าสู่ประเทศอีกด้วย
ที่มา

ธรุกิจ e-commerce



การเริ่มต้นทำอีคอมเมิร์ซ(E-commerce)
อันดับแรกควรศึกษาหาความรู้ที่จำเป็นต้องรู้ทั้งเกี่ยวกับการค้าขายทางออนไลน์ ตัวสินค้า การเริ่มต้นทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแต่ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่ต้องการรวดเร็วก็ขอคำแนะนำและปรึกษากับผู้ที่รู้จริงๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ซึ่งเสี่ยงต่อความล้มเหลวได้ ที่ปรึกษาเหล่านี้จะให้คำแนะนำว่าควรเริ่มต้นอย่างไร ในที่นี้ไม่สามารถนำรายละเอียดต่างๆมากล่าวได้ทั้งหมด
ต้นทุนในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ(E-commerce)
ตั้งแต่หลักพันขึ้นไป จนถึงหลักล้านก็มีให้เห็น การลงทุนในธุรกิจนี้ ก็จำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียในแต่ละจุด (SWOT) ถึงแม้จะเป็นการลงทุนไม่มากก็จริง แต่หลักของการดำเนินธุรกิจก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกรณีการทำธุรกิจทั่วๆไป ถ้าไม่รู้ก็จงขอคำแนะนำหรือปรึกษากับผู้รู้จะปลอดภัยสูง การลงทุนถ้าให้แนะนำควรเริ่มต้นตามกำลังของตัวเองก่อน แล้วค่อยๆก้าวไปอย่างมั่นคง






จุดเด่นของ อีคอมเมิร์ซ(E-commerce)
1. ลงทุนน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจด้านอื่นๆ ( เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวยังใช้ทุนมากกว่า )
2. นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดาเจ้าของคนเดียวก็ทำได้
3. ค้าขายได้ตลอดเวลา 24 ชม. ใน 365 วัน
4. ค้าขายได้ทั่วทุกมุมโลกตลอดเวลา 24 ชม.
5. ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง บริหารจัดการเองได้หมด
6. ประหยัด รวดเร็วทันใจ
และอื่นๆ อีกมากมาย











กลยุทธ์การทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ชให้ประสบผลสำเร็จ

มีคนเพียงไม่ถึง 10% ที่ทำเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ชประสบความสำเร็จ อีกกว่า 90% ล้มเหลว เหตุผลข้อนี้คนที่ทำอีคอมเมิร์ชประสบความสำเร็จเท่านั้นที่สามารถตอบได้อย่างตรงจุด ส่วนมากจะทำเว็บไซต์ตามกระแสความนิยม เห็นคนอื่นทำแล้วประสบผลสำเร็จขายได้ก็อยากจะทำบ้าง แต่พอลงมือทำกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด กลับมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต หลังจากคัดเลือกเว็บไซต์ได้แล้วก็มาถึงการคัดเลือกโดเมนเนมของชื่อเว็บไซต์ หลักการคัดเลือกโดเมน ควรหาคำที่สั้นไม่ควรเกิน 3 คำ จำง่าย และสะกดง่าย พูดขึ้นมาสะกดได้เลยยิ่งเป็นการดี อาจจะมีความหมายกับธุรกิจได้ยิ่งเป็นการดี หลังจากคัดเลือกโดเมนได้เรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงการสั่งซื้อเว็บไซต์ ( กรณีใช้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป ) ถ้าเขียนโปรแกรมเองก็ต้องไปเช่าโฮสหรือพื้นที่สำหรับรองรับเว็บไซต์ที่จะสร้างขึ้นมา การวางโครงสร้างในเว็บไซต์ที่สร้างขึ้น ต้องมีการวางโครงสร้างทั้งภายนอกและภายในเว็บไซต์ เพื่อให้ออกมาตามที่ต้องการ การวางตำแหน่งเนื้อหาแต่ละจุดควรวางให้เหมาะสม การสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนท์ ต้องทำให้สอดคล้องกับสินค้าหรือบริการ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน ข้อมูลดูและเข้าใจได้ง่ายไม่สลับซับซ้อน สีของเว็บไซต์ควรเป็นแบบพื้นๆ เว็บไซต์ควรเข้าง่าย โหลดง่าย รูปภาพหรือกราฟฟิคมีไม่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้โหลดช้าลง


ประเภทของอีคอมเมิร์ซ มีการแบ่งประเภทอีคอมเมิร์ซกันหลายแบบแตกต่างกันไป เช่น
1. แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภท
2.แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภท
3.แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วน
4.แบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าเป็น 2 ประเภท




อีคอมเมิร์ซ 5 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภทก็ได้ดังต่อไปนี้
1.ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีกหรือบีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) คือประเภทที่ผู้ซื้อปลีกใช้อินเตอร์เน็ตในการซื้อสินค้าจากธุรกิจที่โฆษณาอยู่ในอินเตอร์เน็ต
2.ธุรกิจกับธุรกิจหรือบีทูบี (B-to-B = Business-to-Business) คือ ประเภทที่ธุรกิจกับธุรกิจติดต่อซื้อขายสินค้ากันผ่านอินเตอร์เน็ต
3.ธุรกิจกับรัฐบาลหรือบีทูจี (B-to-G = Business-to-Government) คือประเภทที่ธุรกิจติดต่อกับหน่วยราชการ
4.รัฐบาลกับรัฐบาลหรือจีทูจี (G-to-G = Government to Government) คือ ประเภทที่หน่วยงานรัฐบาลหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลอีกหน่วยงานหนึ่ง
5. ผู้บริโภคกับผู้บริโภคหรือซีทูซี (C-to-C = Consumer-to-Consumer) คือ ประเภทที่ผู้บริโภคประกาศขายสินค้าแล้วผู้บริโภคอีกรายหนึ่งก็ซื้อไป เช่นที่อีเบย์ดอทคอม(Ebay.com) เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินให้กันทางบัตรเครดิตได้




อีคอมเมิร์ซ 3 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภทก็อาจจะแบ่งได้ ดังต่อไปนี้
1. อีคอมเมิร์ซระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ หรือ บีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) ซึ่งอาจจะมีตัวอย่างดังต่อไปนี้ - การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กลุ่มสนทนา กระดานข่าว เป็นต้น
- การจัดการด้านการเงิน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว เช่น ฝาก-ถอน เงินกับธนาคาร ซื้อขายหุ้นกับผู้ค้าหุ้น เช่น อีเทรด (www.etrade.com) เป็นต้น
- ซื้อขายสินค้าและข้อมูล ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้าและข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้โดยสะดวก

2. อีคอมเมิร์ซภายในองค์กรหรือแบบอินทราออร์ก (Intra-Org E-commerce) คือ การใช้อีคอมเมิร์ซในการช่วยให้บริษัทหรือองค์ใดองค์กรหนึ่งสามารถปรับปรุงการทำงานภายในและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรจะสะดวกรวดเร็วจะได้ผลดีขึ้น โดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ และป้ายประกาศ เป็นต้น
- การจัดพิมพ์เอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีพับลิซซิง (Electronic Publishing) ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบเอกสาร จัดพิมพ์เอกสาร และแจกจ่ายเอกสารได้สะดวกรวดเร็ว และใช้ค่าใช้จ่ายน้อย ไม่ว่าจะเป็นคู่มือข้อกำหนดสินค้า (Product Specifications) รายงานการประชุม เป็นต้น ทั้งนี้โดยผ่านเว็บ
- การปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงานขาย การใช้อีคอมเมิร์ซแบบนี้ช่วยปรับปรุงการสื่อสารระหว่างฝ่ายผลิตกับฝ่ายขาย และระหว่างฝ่ายขายกับลูกค้า ทำให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น

3. อีคอมเมิร์ซระหว่างองค์กรหรือแบบอินเตอร์ออร์ก (Inter-Org E-commerce) ซึ่งก็คือแบบเดียวกับแบบที่เรียกว่าบีทูบี (Business to Business) ทั้งนี้โดยมีตัวอย่างต่อไปนี้
- การจัดซื้อ ช่วยให้จัดซื้อได้ดีขึ้น ทั้งด้านราคา และระยะเวลาการส่งของ
- การจัดการสินค้าคงคลัง
- การจัดส่งสินค้า
- การจัดการช่องทางขายสินค้า
- การจัดการด้านการเงิน





อีคอมเมิร์ซ 6 ส่วน ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วนก็แบ่งได้ดังต่อไปนี้
1.การขายปลีกทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเทลลิ่ง (E-tailing= Electronic Retailing) หรือร้านค้าเสมือนจริง (Virtual Storefront) ยอดขายปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกาใน ค.ศ. 1999 มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท
2.การวิจัยตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือมาร์เก็ตอีรีเซิร์ช (Market E-research) คือการใช้อินเตอร์เน็ตในการวิจัยตลาดแบบเดียวกับที่สำนักวิจัยเอแบค-เคเอสซีอินเตอร์เน็ตทำอยู่ จากการใช้อินเตอร์เน็ตนี้ บริษัทห้างร้านสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าปัจจุบัน และผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้าในอนาคต ทั้งจากการลงทะเบียนเข้าใช้เว็บ จากแบบสอบถามและจากการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้า การวิจัยตลาด อินเตอร์เน็ตก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
3. อินเตอร์เน็ตอีดีไอ หรือการส่งเอกสารตามมาตรฐานอีดีไอโดยใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำลงก็ถือว่าเป็นอีคอมเมิร์ซประเภทหนึ่ง
4. โทรสารและโทรศัพท์อินเตอร์เน็ต การใช้โทรสารและโทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ตหรือ วีโอไอพี (VoIP= Voice over IP) นั้นมีราคาต่ำกว่าการใช้โทรสารและโทรศัพท์ธรรมดา และอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
5. การซื้อขายระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทต่างๆ จำนวนมากในปัจจุบันติดต่อซื้อขายสินค้ากันโดยผ่านเว็บในอินเตอร์เน็ต ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ 6. ระบบความปลอดภัยในอีคอมเมิร์ซ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของอีคอมเมิร์ซ ทั้งนี้ในปัจจุบันมีการใช้วิธีต่างๆ เช่น เอสเอสแอล (SSL= Secure Socket Layer) เซ็ต (SET = Secure Electronic Transaction) อาร์เอสเอ (RSA = Rivest, Shamir and Adleman) ดีอีเอส (DES= Data Encryptioon Standard) และดีอีเอสสามชั้น (Triple DES) เป็นต้น


อีคอมเมิร์ซ 2 ประเภทสินค้า ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าก็แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. สินค้าดิจิตอล เช่น ซอฟท์แวร์ เพลง วิดีโอ หนังสือ ดิจิตอล เป็นต้น ซึ่งสามารถส่งสินค้าได้โดยผ่านอินเตอร์เน็ต
2. สินค้าที่ไม่ใช่ดิจิตอล เช่น สินค้าหัตถกรรม สินค้าศิลปาชีพ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง เครื่องประดับ เครื่องจักรอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งต้องส่งสินค้าทางพัสดุภัณฑ์ ผ่านไปรษณีย์หรือบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์


แนวคิดของอีคอมเมิร์ซ จะประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ
1. Customer Relationship Management (CRM) การบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้าเพราะลูกค้าคือส่วนสำคัญที่สุดและเป็นส่วนที่เป็นพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ บริษัทไม่สามารถที่จะพัฒนาได้ถ้าขาดความเชื่อมั่นจากลูกค้า เพราะฉะนั้นการปรับปรุงการโต้ตอบระหว่างลูกค้ากับกระบวนการต่างๆ ของธุรกิจ ที่เป็นกระบวนการย่อยซึ่งจะส่งผลต่อลูกค้าโดยรวม
2. Supply Chain Management (SCM) เป็นแนวคิดการผสานกลไกทางธุรกิจทั้งหมด ตั้งแต่การนำวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต จนกระทั่งส่งสินค้าถึงมือลูกค้า ช่วยให้บริษัทสร้างระบบการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร สินค้า และการบริการ ให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยระบบงานภายในและภายนอกบริษัท
3. Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นการวางแผนบริหารทรัพยากรภายในองค์กร โดยการมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงระบบการดำเนินงานและการพัฒนาบุคลากรขององค์กร เพื่อให้องค์กรมีขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นการผสานกลยุทธ์ทางธุรกิจ เทคโนโลยี และบุคลากรเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน



วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

E-Commerce คืออะไร






ความหมาย

Electronic Commerce หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริหาร การโฆษณาสินค้า การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น จุดเด่นของ E-Commerce คือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยลดความสำคัญขององค์ประกอบของธุรกิจที่มองเห็นจับต้องได้ เช่นอาคารที่ทำการ ห้องจัดแสดงสินค้า (show room) คลังสินค้า พนักงานขายและพนักงานให้บริการต้อนรับลูกค้า เป็นต้น ดังนั้นข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์คือ ระยะทางและเวลาทำการแตกต่างกัน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจอีกต่อไป



อุปกรณ์และวิธีการทำ E-commerce

อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี hyperlink จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้ และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น
E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ ธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ฯ สาระของการติดต่อจะมี 4-5 ประการ คือ

=>การขาย รวมการโฆษณา แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา
=>การชำระเงิน การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ
=>การขนส่ง แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
=>บริการหลังการขาย การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการขาย





บทบาทภาครัฐกับ E-Commerce

เนื่องจากการทำธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันกันร้อนแรง ส่วนใหญ่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาครัฐได้แก่ แผนกลยุทธ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อมิให้เสียเปรียบเชิงการค้าในระดับโลก โครงสร้างการสื่อสารที่ดีและเพียงพอ กฎหมายรองรับข้อมูลและหลักฐานการค้าที่ไม่อยู่ในรูปเอกสาร ระบบความปลอดภัยข้อมูลบนเครือข่ายและระบบการชำระเงิน
E-Government เป็นอีกมิติหนึ่งของการให้บริการภาครัฐออนไลน์ที่จะเอื้อให้ธุรกิจ ประชาชน ติดต่อใช้บริการ ในกรอบบริการงานแต่ละด้านของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่สถาบันการเงิน กรมทะเบียนการค้าให้บริการจดทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ การทำ E-Procurement เพื่อการจัดซื้อจัดหาภาครัฐก็เป็นบริการที่ควรดำเนินการ เพราะจะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเป็นไปตามกรอบนโยบายของที่ประชุมเอเปคด้วย


ความปลอดภัยกับ E-Commerce

ระบบความปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุด และมีเทคโนโลยีความปลอดภัยคือ Public Key ซึ่งมีองค์กรรับรองความถูกต้องเรียกว่า CA (Certification Authority) ระบบนี้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณรหัสคุมข้อความจากผู้ส่งและผู้รับอย่างเฉพาะเจาะจงได้ จึงสามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับผู้ส่ง (Authentication) รักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Confidentiality) ความถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล (Integrity) และผู้ส่งปฏิเสธความเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ได้ (Non-repudiation) เรียกว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature)
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการมีกฎหมายรองรับการทำธุรกรรมบนเครือข่าย ประเทศในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายรองรับการทำธุรกิจดังกล่าว สำหรับในประเทศไทยก็เร่งจัดการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 6 ฉบับ โดยกฎหมาย 2 ฉบับแรกที่จะออกใช้ได้ก่อนคือ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์




การชำระเงินบน E-Commerce

จากผลการวิจัยพบว่า วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่ ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต

สำหรับในประเทศไทย... ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต อีกร้อยละ 40 ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct Debit, Debit Card และ Fund Transfer
เพื่อ... สร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้
1. บริการ internet banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway จะเป็น hyperlink ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของลูกค้า หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
2. สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro Payment การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทั่วไป จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม



ที่มา

http://www.bot.or.th/Thai/PaymentSystems/Others/eCommerce/Pages/eCommerce.aspx

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

Happy New Year 2010


สไลด์โชว์งานปีใหม่สุดอลังการในภาคอีสาน




ชวนเที่ยวอีสาน ร่วมงาน Countdown นครขอนแก่นสู่ทศวรรษใหม่ 2010




จังหวัดขอนแก่น
สถานที่: ประตูเมือง จังหวัดขอนแก่นวันที่: 31 ธันวาคม 2552
กิจกรรม:




- ประดับประดาด้วยไฟตกแต่ง ห้อยระย้ากว่าพันดวง- สุดอลังการธารน้ำพุเจ็ดสี ที่ทะยานพุ่งสูงกว่า 9 เมตร



- ครั้งแรกของเมืองไทยกับการจัดดอกไม้ให้เป็นผืนพรมยักษ์ Flower carpet



- ร่วมนับถอยหลังกับคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง



- สุดยอดไฮไลท์เคาท์ดาวน์กับแสง สี เสียง คือเทคนิคไพโรเอฟเฟคจากอเมริกา ที่จะสร้างภาพประทับใจบนประตูเมือง ขอนแก่นใต้แสงพุ จำนวน 983 นัด


- มหามงคลแห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับการรอดประตูเมืองในคืนข้ามปี









จังหวัดขอนแก่น กำหนดจัดงาน "นครขอนแก่นเฉลิมฉลองข้ามปีถนนวิถีสู่ทศวรรษใหม่" ในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ณ บริเวณถนนศรีจันทร์ (ช่วงทางเข้าประตูเมือง) โดยมีห้างเซนทรัลพลาซ่า และสิงห์คอเปอเรชั่น เป็นผู้สนับสนุนหลัก



จังหวัดขอนแก่นเป็นศูนย์กลางในการเดินทางต่อไปยังจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน อีกทั้ง เป็นเมืองแห่งการศึกษาและเมืองเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของภาคอีสาน การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่และการก้าวสู่ทศวรรษใหม่แล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่สะท้อนขีดความสามารถในการจัดงานอีเว้นส์ระดับประเทศเพื่อสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวและดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังจังหวัดมากขึ้น








โดยในงานนอกจากการตกแต่งถนนแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสานที่ประดับด้วยสวนดอกไม้ (Flower Carpet) ไฟแสงสีตระการตา ประติมากรรมไฟน้ำพุความยาวกว่า 400 เมตร และเป็นช่วงนาทีสำคัญที่จะข้ามสู่ความโชคดีปี พ.ศ. 2553 นอกจากนี้ในงานยังประกอบด้วยกิจกรรมมากมาย อาทิ การแสดงคอนเสริท์จากศิลปินชื่อดัง การแสดงศิลปวัฒนธรรม อีสาน การจุดพลุก



บรรยากาศการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จังหวัดขอนแก่น ก็คึกคักไม่แพ้ที่อื่น โดยหลายหน่วยงานในจังหวัดร่วมกันเนรมิตถนนศรีจันทร์ บริเวณประตูเมืองเป็นถนนคนเดิน ปูพรมดอกไม้หลากชนิดและเปิดน้ำพุ 7 สีเต้นระบำ ซึ่งมีชาวขอนแก่นตลอดจนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมเคาท์ดาวน์คึกคักกว่า 20,000 คน พร้อมเดินลอดซุ้มประตูเมืองรับน้ำพระพุทธมนต์วันแรกของปีเสริมความเป็นสิริมงคล


คนนับหมื่นที่รอคืนข้ามปี









ครั้งแรกของความประทับใจ ...ภาพที่ชาวขอนแก่นไม่มีวันลืม





ที่มา

http://www.khonkaenlink.info/tour/tour_thai.asp?id=9181

www.holidaythai.com/board/topic/497

www.siamteens.com/news/

http://thai.tourismthailand.org/news/release-content-2707.html

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553





หมอลำซิ่ง

การแสดงภาคอีสาน


ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถแบ่งเรื่องการละเล่นพื้นเมืองได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มอีสานเหนือ ซึ่งสืบทอดวัฒนธรรมมาจากกลุ่มวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโขง ที่เรียกว่า กลุ่มไทยลาว หรือกลุ่มหมอลำ หมอแคน ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีมากที่สุดในภาคอีสาน
2. กลุ่มอีสานใต้ แบ่งออกได้อีก 2 กลุ่ม คือ
• กลุ่มที่สืบทอดวัฒนธรรมเขมร - ส่วย หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเจรียง - กันตรึม"
• กลุ่มวัฒนธรรมโคราช หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเพลงโคราช"


ถ้าพิจารณาถึงประเภทของเพลงพื้นเมืองอีสาน โดยยึดหลักเวลา และโอกาสในการขับร้องเป็นหลัก สามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ


1. เพลงพิธีกรรม
• กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ การลำพระเวสหรือการเทศน์มหาชาติ การแหล่ต่างๆ การลำผีฟ้ารักษาคนป่วย การสวดสรภัญญะ และการสู่ขวัญในโอกาสต่างๆ ฯลฯ
• กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ เรือมมม็วต เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวสุรินทร์ ซึ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่า "เรือมมม็วต" จะช่วยให้คนที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยมีอาการทุเลาลงได้ ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวน แต่จะต้องมีหัวหน้าหรือครูมม็วตอาวุโสทำหน้าที่เป็นผู้นำพิธีต่างๆ และเป็นผู้รำดาบไล่ฟันผีหรือเสนียดจัญไรทั้งปวง
2. เพลงร้องเพื่อความสนุกสนาน
• กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ หมอลำ ซึ่งแบ่งได้ 5 ชนิด คือ หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน หมอลำผีฟ้า
• กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ กันตรึม เจรียง เพลงโคราช


ตัวอย่างการแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน


* หมอลำอีสาน หมอลำ แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ หมอลำผีฟ้า หมอลำพื้น หมอลำกลอน และหมอลำหมู่




=>หมอลำผีฟ้า หมายถึง หมอลำที่ติดต่อกับผีฟ้าความมุ่งหมายของการร้องรำผีฟ้าก็เพื่อรักษาคนป่วย







=>หมอลำพื้น หมายถึง " หมอลำนิทาน " คือ หมอที่เล่านิทานด้วยการลำ (ขับร้อง) คำที่เก่าแก่พอ ๆ กันกับ " ลำพื้น " ก็คือ " เว้าพื้น " ซึ่งตรงกับว่า " เล่านิทาน " หมอลำพื้นจะเป็นหมอลำคนเดียว และมีหมอแคนเป่าคลอเสียงประสานไปด้วย






=>หมอลำกลอน คือ หมอลำที่ลำโดยใช้กลอน การลำสองคนโต้ตอบกัน







=>หมอลำหมู่ คือ หมอลำที่มีผู้แสดงหลายคน โดยแสดงเป็นเรื่องราว แสดงละคร หรือลิเก โดยนำเอานิทานพื้นบ้านมาทำบทใหม่



เพิ่มเติม











หมอลำซิ่ง ลำซิ่ง เป็นการลำที่พัฒนาไปจากหมอลำกลอน ดังนั้นจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลำกลอนซิ่งเป็นการลำกลอนในแนวใหม่ซึ่งมีรูปแบบ การแสดงที่ประกอบด้วย การลำ การร้อง การฟ้อน และการเต้น คำว่า "ซิ่ง" น่าจะมาจากภาษาอังกฤษว่า "เรสซิ่ง" (racing) ซึ่งแปลว่าการแข่งขันลำซิ่งจึงเป็นการลำที่ใช้ลีลา จังหวะ ในการลำ การเต้น ที่รวดเร็ว ใช้ทำนองลำเดิน (ลำย่าว)ซึ่งเป็นทำนองทางสั้นวาดขอนแก่น เป็นทำนองหลัก แต่ใช้สำเนียงแบบลำทางยาวลำซิ่งเป็นท่วงทำนองในการลำที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเดิมทีเดียวเกิดขึ้นในลำเพลินก่อนเนื่องจากมีการนำดนตรีสากล พวกกลองชุดเข้ามาบรรเลงประกอบการแสดง พร้อมทั้งใช้ทำนองลำเพลิน ลำเดินลำเต้ยและเพลงลูกทุ่งประกอบ

ที่มา:
http://www.art2bempire.com/board/index.php?topic=7574.0
www.212cafe.com/.../view.php?user=kalasin&id=228
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมอีสาน

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

ภาษาอีสาน

ภาษาถิ่น ภาษาอีสาน

คนอีสานนี่มีนิสัยอยู่อย่างนึง คือเป็นคนที่เรียบง่าย ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บ่เรื่องมาก ฮักเพื่อนฮักหมู่ บ่ว่าจะไปหม่องใด๋แจใด๋ หากได้ยินคนเว้ากันด้วยภาษาอีสานก็จะรู้สึกอบอุ่นใจ อย่างหน่อยก็มีหมู่ที่เว้าภาษาเดียวกัน ถึงแม้ว่าสิมาจากคนละจังหวัด คนละอำเภอ คนละหมู่บ้านกะตามซ่าง
ด้วยสำเนียงที่แตกต่างกันออกไปเนื่องด้วยวัฒนธรรมและที่มาที่ต่างกันบ่หลาย เฮ็ดให้ภาษาอีสานเป็นที่สื่อสารกันได้ทุกหม่องทุกบ่อน เว้าจาต่างสำเนียงกันไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหลักของคนอีสาน เพราะด้วยบริบทต่างๆก็สามารถเรียนรู้และเข้าใจได้บ่ยาก
ภาษาอีสาน คือ ภาษาของคนไทยทุกคน เป็นมรดกของชาติ ที่พวกเราต้องช่วยกันอนุรักษ์และสืบทอด ถึงแม้ว่าสิไม่ใช่ภาษาราชการ (ที่ติดต่อราชการ) ก็ตามซ่าง เฮาคนไทยทุกคนกะควรจะเรียนรู้ไว้ คนภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือก็เรียนรู้ภาษาอีสานได้บ่ยาก


ตัวอย่างภาษาอีสาน

คำกริยา
เมียบ้าน=> กลับบ้าน
อีหลีบ่=> จริงหรือ
ศูนย์=> โกรธ
อีหลี=> จริง
ไปบ่=> ไปไหม
แม่นบ่=> ใช่หรือ
บ่ไป=> ไม่ไป
สวย=> สาย
ไปนำ=> ไปตามตัว
มิด=> เงียบ, จม
เบิ่ง=> ดู
จอบ=> แอบดู
ไปนำแน่ => ไปด้วย
แลน=> วิ่ง
ไปไส=> ไปไหน
เซา=> หยุด
ไปโลด=> ไปเลย
แซบ=> อร่อย
หั่นเด้=> นั่นงัย
ยาง=> เดิน
หลุด=> ลด(ราคา)
เว่า=> พูด
มวน=> สนุก
เฮ็ด=> ทำ
แจ้ง=> เช้า
เวียก => งาน
ซอย=> ช่วย
โดน=> นาน
ซอด=> ทะลุ
อีหยัง=> อะไร
ตั๋ว=> โกหก
บ่ => ไม่
ขี้ตั๋ว=> ขี้โกหก
ติง=> ขยับ
เซี่ยง=> ซ่อน(ของ)
ลี้=> ซ่อน
ซูน => แตะ
ตอดเงา=> สัปงก
ต้อย=> แตะ
ขี้คร้าน=> ขี้เกียจ
อึด => หายาก/ขาดแคลน
ขี้ถี่=> ขี้เหนียว
ดึก => ปา/ขว้าง สิ่งของ
ปึก=> โง่ ฉลาดน้อย
ฮู้=> รู้
จี่=> ย่าง/ปิ้ง
ม่วน=> สนุก
ม่าง=> รื้อ, ทำลาย
เข็ดแข่ว=> เสียวฟัน
แนม=> แอบดู
เมี่ย=>น เก็บให้เป็นระเบียบ
ฟ้าว => รีบ
หลุดทุน=> ขาดทุน
เป็นตาหน่าย=> น่าเบื่อ
รถตำกัน =>รถชนกัน
หย่ำ => เคี้ยว
มุน =>ละเอียด
โสกัน=> คุยกัน
ลุบ => ยุบ
เข็ดแข่ว=> เสียวฟัน
ม่องได๋/บ่อนได๋ => ที่ไหน
ยู่=> เข็น
เล่นสาว=> จีบสาว

คำนาม
พืช-ผลไม้
บักหุ่ง => มะละกอ
บักมี่=> ขนุน
บักหุ่งเหิม => มะละกอใกล้สุก
มันเภา => มันแกว
บักเขียบ => น้อยหน่า
บักทัน=> พุทธา
ไน => เมล็ด/เม็ด
บักอึอ=> ฟักทอง
บักต้อง=> กระท้อน
บักสีดา=> ฝรั่ง

สัตว์
ขี้คันคาก=> คางคก
ปลาแดก => ปลาร้า
ขี้เกี้ยม=> จิ้งจก
งัว => วัว
หมาว้อ => หมาบ้า

สิ่งของ
เกิบ => รองเท้า
บ่วง=> ช้อน
จอก=> แก้วน้ำ
บักจก=> จอบ
รถยู้ => รถเข็น
รถเครื่อง=> มอเตอร์ไซด์

คำสรรพนาม
เซียง=> คำนำหน้าคนที่เคยบวชเณร
ทิด => คำนำหน้าคนที่เคยบวชพระ
เอื้อย=> พี่สาว
อ้าย=> พี่ชาย
ข่อย =>ข้าพเจ้า
เพิน => ท่าน/เขา

อื่นๆ
ซาว => 20
แข่ว => ฟัน
ดัง=> จมูก
สบ =>ริมฝีปาก



ที่มา:http://entertain.tidtam.com/data/12/0338-1.html#top

ภาษาท้องถิ่นอีสาน

หนังสั้น ปอป (เวอร์ชั่น ภาษาอีสาน)